เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพราะโยมขวนขวายมาไง เราเห็นน้ำใจของโยมขวนขวายกันมา ขวนขวายกันมาเพื่อบุญกุศล บุญกุศลคือความอบอุ่นในหัวใจไง อยู่คนเดียวอยู่โคนไม้ก็มีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุขไง แต่ทางโลกของเขา ความสุขของเขา ความสุขของเด็กได้กินนมมันมีความสุข เวลามันไม่ได้กินนมมันร้องไห้นะ พอเอานมใส่ปาก เงียบ นี่ความสุขของเขาๆ
ความสุขของใคร เราตีความสุขว่าคืออะไรล่ะ ถ้าความสุขมันอยู่ที่วุฒิภาวะของคนไง ถ้าวุฒิภาวะของคน เราทุกข์เรายาก ปากกัดตีนถีบนะ ถ้ามีใครมาช่วยเหลือเจือจานมันมีความสุขนะ คิดถึงน้ำใจของเขา เราตกทุกข์ได้ยากขึ้นมาเขายังระลึกถึงเรา เขาช่วยเหลือเจือจานเรา นั่นความสุขของคนทุกข์คนยากไง เวลาคนมั่งมีศรีสุขเขามีความสุขๆ เขามีความสุข เขาเกิดทุกข์กังวลว่าสมบัติของเขาๆ มันเลยกลายเป็นความทุกข์ไง
แต่ถ้าหัวใจของคน หัวใจของคนที่มีศีลมีธรรม สิ่งใดที่เราหามาถ้าเป็นประโยชน์กับโลก เป็นประโยชน์กับโลกและเป็นประโยชน์กับเราด้วย ถ้าเป็นประโยชน์กับเราก่อน เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้เสียสละ สอนให้มีน้ำใจต่อกัน ถ้ามันมีคุณค่า มีคุณค่าตรงนี้ไง บารมีธรรมมันเกิด มันเกิดตรงนี้ เกิดตรงคนที่มีน้ำใจ คนที่มีน้ำใจ คนที่เผื่อแผ่คน คนที่มีบารมีไง
ของเรามั่งมีศรีสุขแล้วเราซ่อนของเราไว้คนเดียว เราจะใช้ของเราคนเดียว เราก็ร่ำรวยของเราตามความจินตนาการของเราไง แต่เราไม่มีบารมีไง คนเขาไม่มีน้ำใจกับเราไง แต่ถ้ามีน้ำใจกับเขา มีน้ำใจกับเขา ความสุขเกิดจากการเสียสละ
โยมขวนขวายกันมาเสียสละ เสียสละเพื่อใคร เสียสละนะ มาเสียสละเพื่อหัวใจของตนเองไง หัวใจของเรามันทุกข์มันยากใช่ไหม เวลาเสียสละออกไป สิ่งใดที่มันทุกข์มันยากในหัวใจของเราให้มันสละออกไปแบบสิ่งของที่เราถวายทานไปนี่ สิ่งที่ถวายทานไปคือมีเจตนาที่ทำบุญกุศลขึ้นมา ให้หัวใจมันได้อิ่มทิพย์ๆ ไง ที่เราเสียสละเป็นผู้ให้ ผู้ให้มันยั่งยืน ผู้ให้มันมีน้ำใจ ผู้รับๆ คอตกอยู่นี่ มีใครจะมาเจือจานเราบ้าง ผู้รับไง ผู้รับไม่มีสิทธิเรียกร้องไง
เวลาเราเป็นภิกษุเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งๆ นี่สัมมาอาชีวะๆ เวลาประกอบสัมมาอาชีวะ เราก็เลี้ยงชีพชอบๆ ไง นี่เราประกอบสัมมาอาชีวะ ดูเจตนาเขาสิ เจตนาของเขา เช้าขึ้นมาเขาต้องทำบุญกุศลของเขา เขาหุงหาอาหารของเขาเพื่อดำรงชีพของเขา ข้าวปากหม้อๆ เขาตักใส่บาตรก่อนๆ พระกว่าจะมา เขาอธิษฐานของเขา เขาอธิษฐานของเขา เขายกใส่ศีรษะของเขา แล้วเขาเสียสละทานไปๆ โดยเจตนาที่สะอาดบริสุทธิ์ ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เช้าขึ้นมา สิ่งที่ถ้าเป็นพุทธกิจ เล็งญาณๆ เล็งญาณโปรดสัตว์ๆ
ถ้าโปรดสัตว์นะ โปรดสัตว์ โปรดทั้งเราโปรดทั้งเขาน่ะ โปรดสัตว์ๆ ก็โปรดพระนี่ไง พระหิว พระท้องร้องจ๊อกๆ อยู่นี่ พระมาบิณฑบาตเลี้ยงชีพไง โปรดสัตว์ๆ โปรดเขา เขามีความทุกข์ความยากในใจของเขา เขาทำบุญกุศลของเขา นางสุชาดาๆ อธิษฐานขอให้มีลูกชายๆ พอได้ลูกชายสมความปรารถนา เขาจะแก้บนของเขา เขาทำข้าวมธุปายาสไปถวายเทวดา ไปเห็นเจ้าชายสิทธัตถะนั่งอยู่โคนต้นโพธิ์ โอ้โฮ! นี่แหละเทวดาๆ ถวายอาหารอันนั้น เวลาคนเขาจะถวายของเขา เขามีน้ำใจของเขา นี่ไง โปรดสัตว์ๆ นี่ไง สัมมาอาชีวะ สัมมาอาชีวะอย่างนี้
แต่เวลาเราเป็นฆราวาสใช่ไหม โอ้โฮ! บวชพระไปแล้วจะอยู่จะกินอย่างไร โอ๋ย! ลำบากลำบนไปหมดเลย มันทุกข์มันยากไปทั้งนั้นน่ะ มันทุกข์มันยากไปเพราะกิเลสของเราไง เพราะกิเลสของเรา เราเป็นฆราวาสใช่ไหม เราทานอาหาร ๓ มื้อใช่ไหม เราอยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขใช่ไหม เราแสวงหามาเป็นของเราเองมันเป็นความอบอุ่นใช่ไหม ถ้าไม่มีใครให้ เราก็มีของเราอยู่แล้วๆ เราต้องหาของเรามาเองไง เวลาเราบวชเป็นพระไปแล้วมันไม่มีหมดเลย มีแต่บริขาร ๘ มีแต่บาตรใบหนึ่ง แล้วใครจะให้เราๆ วิตกกังวลไปทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาถ้ามีผู้ที่มีอำนาจวาสนา เขามีศีลมีธรรมของเขา
เราเกิดมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ๆ ไง ถ้าเราเป็นฆราวาสญาติโยม ฆราวาสญาติโยมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาโปรดสัตว์ อนุปุพพิกถาก่อน ให้เขาเสียสละทานของเขา ถ้าเสียสละทานของเขา เขาได้ภพได้สวรรค์ของเขา ได้สวรรค์แล้วให้ถือเนกขัมมะ พอจิตใจเขาควรแก่การงาน ท่านถึงได้แสดงอริยสัจ เวลาโปรดญาติโปรดโยม เวลาสิ่งนี้ สิ่งที่ญาติโยมของเขา ถ้าจิตใจเขาเป็นธรรมๆ เวลาใจเขาเป็นธรรมแล้ว นี่ไง สิ่งที่หาความสุขๆ
บัญญัติความสุขว่าอะไร ถ้าบัญญัติความสุขว่าสมความปรารถนาอย่างนี้ ถ้าคนมีสติมีปัญญานะ มันนั่งคอตกอยู่นี่ แล้วชีวิตเราล่ะ มันวิตกกังวลไง แต่ถ้าพอมันมีสติมีปัญญาขึ้นมา อนุปุพพิกถา เขาได้เสียสละทานของเขาแล้ว จิตใจของเขาควรแก่การงานแล้ว เทศน์ถึงอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ ชีวิตนี้ทนอยู่ได้ไหม สิ่งใดเราทนอยู่ได้บ้าง สิ่งที่เราเคลื่อนไหวตลอดเวลา เปลี่ยนอิริยาบถตลอดเวลา ความทุกข์มันก็คลายไปตลอดเวลาไง ทุกข์ สิ่งที่ทนอยู่ไม่ได้ แล้วชีวิตนี้ทนอยู่ได้ไหม
เวลาผ่าตัดเดี๋ยวนี้มันบล็อกได้ไง เมื่อก่อน ดูสิ หมอชีวกมัดไว้ ถ้า ๗ วันต้องมัดไว้ มัดไว้ก่อนนะ สมัยพุทธกาลที่ผ่าตัดนะ ถ้าผ่าตัดสมัยนั้น เพราะหมอชีวกเป็นหมอประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ทำๆ มันทำมาขนาดนั้น สิ่งที่ทำมาขนาดนั้นนะ ทำมาเพื่อปรารถนาความสุขของตนๆ ไง
แต่ถ้าพอมีสติปัญญานะ สมบัตินี้เราก็หามาได้ สิ่งที่หามาได้เราหามาเพื่ออำนาจวาสนาของเราไง สิ่งนี้ถ้าเราทำประโยชน์ได้เราก็ทำประโยชน์ของเรา แต่ถ้าจริงๆ แล้วประโยชน์ของเราศีล สมาธิ ปัญญา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี หัวใจของเรานี่ๆ
แต่เราแสวงหาความสุข ดูสิ การเคลื่อนย้ายของมนุษย์ สิ่งใดอยากรู้อยากเห็น การเคลื่อนย้ายของมนุษย์ สิ่งใดเคลื่อนย้ายมนุษย์ มันไปสร้างเสริมอะไร สร้างเสริมทักษะไง ไปรู้ไปเห็นขึ้นมามันต่อยอดความคิดๆ ขึ้นมานะ ต่อยอดความคิดขึ้นไปมันก็ทำหน้าที่การงานของเขาไป
แต่ถ้าเรามีสติปัญญา ลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ ลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ เราหายใจอยู่แล้ว คนเราเกิดมาต้องมีลมหายใจ ถ้าไม่มีลมหายใจคือคนตาย คนที่มีลมหายใจ ลมหายใจนี้ลมหายใจเพื่อออกซิเจน ลมหายใจเพื่อร่างกายนี้
แต่ถ้าจิตของเราๆ มันเกาะที่ลมหายใจนี้ มันเป็นอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก จิตดวงนั้นมีคุณค่าขึ้นมาแล้ว จิตดวงนั้นมีคุณค่าขึ้นมา แล้วถ้ามันสงบสุขอย่างนี้ เงินทองซื้อไม่ได้ ที่ไหนก็ไม่มีขาย สำนักไหนก็ขายไม่ได้ ไม่มีทั้งนั้น มีแต่คนทำขึ้นมาๆ ไง เราทำขึ้นมาเพราะอะไร เพราะหัวใจเรามีคุณค่าไง
นี่ไง บัญญัติความสุขๆ ไง ความสุขของเด็ก เด็กสุข ถ้ามีนมกินมันก็มีความสุข ถ้าพ่อแม่ดูแลก็มีความสุขทั้งนั้นน่ะ แล้วความสุขของเราๆ ล่ะ เราโตขึ้นมาแล้วเราจะหาความสุขของเราเองไง ถ้าเรามีสติปัญญา มาทำบุญกุศลเพื่อเหตุนี้
สิ่งใดที่ทำๆ มันเป็นหน้าที่ของมนุษย์ คนเกิดมาต้องมีหน้าที่การงาน ความรับผิดชอบของใจ ถ้ามีความรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน ความรับผิดชอบกับชีวิตนี้ แล้วสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติ คนจะดีได้ ดีได้เพราะการฝึกหัด ดูสิ การฝึกหัด ดูสัตว์ สัตว์ถ้าฝึกหัดดีแล้วมันน่ารักน่าชังทั้งนั้นน่ะ ถ้าไม่ได้ฝึกหัดมันก็พาลของมันตามนิสัยของมัน
นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่ฝึกหัดดีแล้ว หัวใจที่ฝึกหัดดีแล้วมันไม่ไปกว้านเอาตัณหาความทะยานอยาก เอาทุกข์เอายากมาทับถมหัวใจไง หัวใจที่ฝึกหัดดีแล้วมันรู้จักหลบรู้จักหลีกไง หัวใจที่ไม่ได้ฝึกหัด จับอะไรก็ว่ามันเป็นของเราๆ ทั้งนั้นน่ะ อารมณ์ความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นกับความคิดของตน แล้วความคิดของตนเจ็บช้ำน้ำใจทั้งนั้น เพราะความคิดนี้มันเกิดจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง
แต่ถ้ามีสติปัญญาของเรา มีสติมีปัญญาของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เพราะอะไร เพราะไม่ให้ไปคิดเรื่องนั้นไง ถ้าปล่อยไปก็คิด นี่ธาตุรู้ ธรรมชาติสิ่งที่รู้มันต้องรู้ของมันตลอดเวลา แล้วมันมียางเหนียวมันแปะไปด้วย อารมณ์อะไรมันก็แปะ แปะของเราหมดเลย แล้วแปะแล้วแกะไม่ออกด้วย
ให้มันระลึกพุทโธ ให้ระลึกลมหายใจ ระลึกไง ฝึกหัดๆ สิ่งนี้มีคุณค่ามากนะ เพราะว่าจิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก จิตนี้มหัศจรรย์นัก เพราะจิตนี้จิตที่หลากหลายนัก กำเนิด ๔ ในครรภ์ ในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ กำเนิดๆ กำเนิดมาเป็นสิ่งใดก็เป็นสิ่งนั้น กำเนิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม กำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน กำเนิดเป็นผี เป็นเปรต แล้วตอนนี้ ตอนนี้กำเนิดเป็นมนุษย์
เราเกิดมาเป็นเราๆ แต่เราไม่รู้จักเรา เราไม่รู้จักหัวใจของเรา ทั้งๆ ที่หัวใจของเราเป็นทรัพย์สมบัติของเรานะ เพราะหัวใจดวงนี้ทำให้เรามาเกิดนั่งอยู่นี่ แล้วหัวใจดวงนี้ถ้ามีสติมีปัญญา เวลาจะชำระล้าง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอน สอนลงที่หัวใจของคน สอนลงไปหัวใจของสัตว์โลก หัวใจของสัตว์โลก หัวใจของสัตว์โลกที่มันมืดมน แต่มันมาสว่างที่สายตานี้ สายตานี้เห็นเงินเห็นทอง อู้ฮู! เห็นอันนี้สว่างกระจ่างแจ้งนะ แต่ตามันมืดบอด ตามันมืดบอดมันเลยไม่เข้าใจว่าทรัพย์สมบัติสิ่งใดที่มีค่าไง
มันก็ทรัพย์สมบัติ โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มันลาภสักการะทั้งนั้นน่ะ โมฆบุรุษตายเพราะลาภ ตายเพราะชื่อเสียง ตายเพราะเขาเชิดชู โมฆบุรุษมันตายๆ เขายกยอไง เขาป้อลูกยอเข้าไปลอยหมดเลย แล้วก็ติดกับสังคมอย่างนั้นน่ะ
ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นกษัตริย์ สละละทิ้งเข้าสู่โคนไม้นั้น เข้าไปสู่โคนไม้นั้น มีเรากับโคนไม้นั้นเท่านั้นน่ะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทำความสงบของใจของเรา
หัวใจที่มันคิดไปร้อยแปดพันเก้า บวชเป็นพระแล้วใครจะดูแลเรา บวชเป็นพระแล้วจะทุกข์จะยากขนาดไหน ไอ้นั่นมันคิดไปแล้ว มันส่งออกไปไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้ามันกำหนดพุทโธ มันอยู่แค่นี้ มันอยู่ที่ลมหายใจ พอลมหายใจ ถ้าพุทโธจนมันกลมกลืนกัน
กำหนดใหม่ๆ ขัดแย้งทั้งนั้นน่ะ เพราะอะไร เพราะกิเลสมันเกลียด กิเลสมันไม่ต้องการ กิเลสมันอยากเป็นอิสระ กิเลสมันจะเป็นเจ้าอำนาจ กิเลสมันต้องการอำนาจในหัวใจของสัตว์โลก มันครอบคลุมความคิดของเราทั้งหมดไง มันชักนำให้เราไปตามมันทั้งนั้นน่ะ แล้วเราจะเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงจากความคิดนี้ ความคิดนี้ให้ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธานุสติ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดูสิ วันสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ เรากลับบ้านกลับช่องไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ ไปดูแลพ่อแม่ของเราไง นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราระลึกถึงศาสดาของเราไง เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ พุทธะ พุทโธ พุทโธ จนมันกลมกลืนกัน มันกลมกลืนกัน จนมันละเอียดเข้า จนมันวางหมด นั่นล่ะแท้ๆ แท้ๆ เลย ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในหัวใจของเรา
เริ่มต้นมาไม่รู้จัก รู้จักแต่ไปศึกษาจากครูบาอาจารย์ รู้จักแต่สิ่งที่เราไปรับฟังมา แต่ตัวจริงๆ มันไม่รู้จัก เวลาตัวมันเองเข้าไปถึงตัวมันเอง งง นั่นมันอะไรน่ะ นั่นมันอะไรน่ะ
นั่นแหละของแท้ ของแท้ ไอ้ที่เอ็งศึกษามาของเทียมทั้งนั้นน่ะ ทรงจำธรรมวินัยมาๆ ของที่เอ็งศึกษามาๆ เป็นแนวทางทั้งนั้นน่ะ เวลาไปเจอตัวจริงก็งง ไปเจอมันจริงๆ ไม่รู้จักมันอีก แต่มันสุขนะ มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ เวลาไปถามครูบาอาจารย์ บอกนั่นแหละจิตสงบ นั่นแหละจิตของเรา นั่นแหละของเราแท้ๆ สมบัตินี้เป็นสมบัติของเรา
สมบัติที่เราหาทั้งหมดนั้นเป็นสมบัติสาธารณะ ถ้ามีชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณมันก็จดจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เท่านั้นน่ะ แต่จดจารึกไว้ประวัติศาสตร์ เราก็ต้องพลัดพรากจากชีวิตนี้ไป แล้วเราก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่สมบัติของเรา ถ้าถึงสมบัติตรงนั้นได้แล้ว เราแก้ไขได้แล้วถึงสมบัติตรงนั้นไง ถ้าเราคุมสวิตช์ได้ เราเปิดปิดสวิตช์ได้ไง นี่เหมือนกัน ถ้าเราเข้าถึงหัวใจของเราได้ เราจะเปิดปิดในทางที่ดีๆ ไง เปิดปิดไป เห็นไหม เศร้าสลดเสียใจไหม ถ้าเศร้าสลดเสียใจ บางคนถึงน้ำตาไหลน้ำตาร่วงเลย น้ำตาไหลน้ำตาร่วงเป็นสมบัติของเรา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันรู้แจ้ง
แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้วถ้าเป็นไสยศาสตร์ เป็นไสยเวทย์ มันส่งออกไง มันส่งออกที่ว่าติดนิมิตๆ ที่ว่าภาวนาไปแล้วมันจะติดนิมิต ไม่มีครูบาอาจารย์ควบคุมแล้วมันจะเป็นบ้าเป็นบอไปน่ะ
ไอ้อย่างนั้นถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่จริงนะ ท่านจะคุ้มครองดูแลเรา คุ้มครองดูแลเรา คนทำดีมันจะชั่วได้อย่างไรล่ะ คนระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนจะระลึกถึงคุณงามความดีของเรามันจะผิดพลาดไปได้อย่างไรล่ะ คนระลึกถึงพ่อถึงแม่ของเรา เราไปดูแลพ่อแม่ของเรา เราอุปัฏฐากดูแลพ่อแม่ของเรา เป็นคนกตัญญูมันจะเป็นคนเสียได้อย่างไรล่ะ เว้นไว้แต่เราไปเข้าใจผิดว่าพ่อแม่นั่งอยู่นู่น เราไปโรงบ้าโรงบอของเราอยู่นู่น พ่อแม่ก็อยู่ที่หนึ่ง เราก็ไปอีกที่หนึ่ง แล้วเราเข้าใจผิดของเราไปเองนี่ไง
นี่ก็เหมือนกัน เราต้องการเข้าไปหาหัวใจของเราไง แต่เราเข้าไปสิ่งที่มันส่งออก สิ่งที่เป็นไสยเวทย์ สิ่งที่มันส่งออกไปอย่างนั้นนะ ถ้ากำหนดมันก็จบหมดแหละ กำหนดพุทโธมันก็เข้ามาสู่ที่ตัวเราเองไง ถ้ากำหนดพุทโธได้ สิ่งที่รู้ที่เห็นมันวางได้หมดแหละ
สิ่งที่ไปรู้ไปเห็นแล้วมันตื่นเต้น มันอยากรู้ มันอยากอวด มันอยากเป็นผู้วิเศษ มันอยากจะเป็นคนเหนือคน มันก็ไปเข้ากับสิ่งนั้นแล้วก็ไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่ส่งออกไปเป็นไสยศาสตร์ เป็นสิ่งออกไป เพราะจิตมันเป็นได้หลากหลายนัก จะมีศาสนาไม่มีศาสนา เวลากำหนดเข้าไปที่จิตแล้ว จิตนี้มันมีพลังงานของมัน มีพลังงานของมันนะ ดูสิ เวลาไฟไหม้ ทำไมคนมันแบกตู้เย็นได้ล่ะ เวลาคนวิ่งหนีตำรวจมันโดนข้ามบ้านข้ามเรือนไปได้เพราะอะไรล่ะ ตัวจิต เวลามันเป็นอิสระ เวลามันตกใจมันเป็นไปหมดเลย นี่ก็เหมือนกัน เวลาถ้ามันมีกำลังจริงๆ นี่ขนาดมีกำลังแบบโลกๆ นะ แล้วถ้ามันเป็นธรรมๆ ขึ้นมา
ดูสิ พลังงาน ที่ว่าจิตมีกำลังๆ ถ้ามีกำลังอย่างนั้นแล้วบวกด้วยปัญญาๆ ปัญญาในพระพุทธศาสนา ปัญญาเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่จะเกิดขึ้นโดยสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน เวลามันพิจารณาของมันเข้าไปมันจะเข้าไปตรวจสอบ เข้าไปค้นคว้าหารากเหง้าของกิเลสที่ในใจของเรา มันรังแกเรามานัก มันเบียดเบียนเรามาตลอดชีพ มันทำลายเรามาทุกภพทุกชาติ มันแกล้งเรามาตลอด ไอ้คนที่มันแกล้ง ไอ้คนที่มันรังแกเราอยู่นี่ มันรังแกเราอยู่นี่ แล้วมันอยู่ไหน มันอยู่ไหน
เวลาถ้ามันเข้าไปพบไปเห็นเข้า มันไปเห็นเข้าแล้วมันจับต้องได้ เราใช้ปัญญาแยกแยะของเรา รังแกแล้วรังแกอย่างไร อยากก็เพื่อดีๆ นี่ไง ก็อยากเป็นมนุษย์นี่ไง ก็อยากนี่แหละ ทำบุญกุศลนี่ไง
ไอ้ความอยากอย่างนี้มันเป็นอยากแบบตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้าเป็นความอยากประพฤติปฏิบัติ อยากละอยากวาง อยากถอดอยากถอน มันก็เป็นความอยากเหมือนกัน มรรคหยาบ มรรคละเอียด มันจะพัฒนาขึ้นไป ถ้ามันมีสติมีปัญญาใคร่ครวญขึ้นมา พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ ภาวนามยปัญญาเกิดจากการภาวนานี้ ไม่ใช่การจดการจำมา การจดบันทึกอะไรกันมา การจดบันทึกนั้นเป็นร่องเป็นรอย เป็นร่องรอยให้เราไม่ออกนอกลู่นอกรอย ไอ้นี่เป็นร่องรอยๆ
แต่ถ้าเป็นความจริง เป็นความจริงต้องเกิดจากการกระทำในหัวใจนี้ใช่ไหม มันเป็นความจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังจับยัดใส่หัวใจใครไม่ได้เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บอกแนวทาง ถ้าเราอยากได้อยากดี เราต้องบังคับตัวเอง ถ้าเราอยากได้อยากดี เราต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราอยากได้อยากดี เราต้องทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา
ถ้าเป็นจริงขึ้นมา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วสุขอื่นใดเท่ากับชำระล้างกิเลส มันยิ่งมหัศจรรย์เป็นชั้นๆ ขึ้นไป มันมีอยู่ ทุกคนมีโอกาส แต่เขาบอกว่า เรายังทำไม่ได้ เรายังทำไม่ได้...แล้วเมื่อไหร่จะทำได้ล่ะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๒,๐๐๐ กว่าปี ทำได้หรือไม่ได้
นั่นก็เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ของเราเป็นปุถุชน เป็นคนหนา เราทำไม่ได้หรอก ทำไม่ได้
ถ้าเป็นคนหนามาเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างไร ถ้าเป็นคนหนามาวัดทำไม คนหนาคือคนที่ไม่มาวัด คนมาวัดเป็นคนให้เขาถากถางนะ กลับไปบ้านว่า ไปไหนมา
ไปวัดมา
เขาหัวเราะเยาะ อายเขาอีกนะ แต่เราเป็นบัณฑิต หัวใจเราเข้มแข็ง เราเชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปู่ย่าตายายของเราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันจะน่าอายไปตรงไหน ถ้าเราทำเป็นจริงๆ ขึ้นมาเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจขึ้นมามันยิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมา เวลามันเป็นจริงขึ้นมามันสว่างโพลงกลางหัวใจ สิ่งที่มันสว่างโพลงกลางหัวใจ อันนี้มันน่าอายตรงไหน
เทวดา อินทร์ พรหมเขาบอกเลย หลวงปู่มั่นอยู่ในป่าๆ เทวดาไปฟังเทศน์หลวงปู่มั่น ทำไมไม่ฟังเทศน์พระในกรุงเทพฯ เยอะแยะไปหมด ทำไมไม่ฟังเทศน์ล่ะ
อ้าว! ก็มันมืดทึบไปหมดทั้งป่า แล้วมันมีความสว่างไสวอยู่จุดหนึ่ง จุดนั้นคือจุดในใจของหลวงปู่มั่น เทวดา อินทร์ พรหมมาจากไหนเขาก็เห็นทั้งนั้นน่ะ เขาไปทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันสว่างไสวในหัวใจนั้น มันสว่างไสวกลางวัฏฏะ มันสว่างไสวที่ว่าเทวดา อินทร์ พรหมเขารู้เขาเห็นของเขาได้ แต่เราไม่รู้ เราไม่รู้ของเราไง ถ้าเราไม่รู้ของเรา เราก็ขวนขวายของเรา นี่พูดถึงฟังธรรมๆ ไง
เราจะหาความสุข เราจะบัญญัติศัพท์ว่าอะไรคือความสุขไง ความสุขแท้ๆ มันอยู่ที่ไหนล่ะ ความสุขของเด็กมันก็ได้อยู่ได้กินมันก็มีความสุขของมัน นี่ความสุขทางโลก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้นะ ความสุขคือพ้นจากความเป็นหนี้ คนเป็นหนี้เป็นสินเป็นความทุกข์ ถ้าพ้นจากความเป็นหนี้เป็นความสุข แล้วเราเป็นหนี้เวรหนี้กรรมไง ถ้าเราใช้หนี้เวรหนี้กรรมด้วยการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ใช้จนจบสิ้นน่ะ เราพ้นจากความเป็นหนี้เป็นความสุขอย่างยิ่ง เอวัง